เขียนโดย
Autthapon
วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553
ที่
07:55
เขียนโดย
Autthapon
วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553
ที่
06:26
[Kaitori]Bloody Monday Ch.4 DOWNLOAD
[Kaitori]Bloody Monday Ch.3 DOWNLOAD
[Kaitori]Bloody Monday Ch.2 DOWNLOAD
[CHZ]Bloody Monday Ch.1 DOWNLOAD
Mangahelpers
เขียนโดย
Autthapon
ที่
05:47
ซูโม่(ญี่ปุ่น: 相撲 sumō ซึโม ?) หรือมวยปล้ำญี่ปุ่นเป็นกีฬาประจำชาติที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น ประวัติของซูโม่สามารถย้อนกลับไปได้ไกลถึงศตวรรษที่ 8 โดยวังหลวงได้คัดเลือกนักมวยปล้ำจากกองทัพมาสู้กัน เพื่อสร้างความบันเทิงแก่ชาววังในเกียวโต และพัฒนาจนกลายเป็นกีฬาอาชีพในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมจากประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ เป็นต้น อีกด้วย
ประเพณีที่ยึดถือในกีฬาซูโม่นั้นมีความเก่าแก่มาก และยึดถือเป็นแบบปฏิบัติต่อเนื่องกันมาถึงปัจจุบัน เช่น การโปรยเกลืออันเป็นสัญลักษณ์แสดงความบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นประเพณีที่ซูโม่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในศาสนาชินโต การใช้ชีวิตของนักปล้ำซูโม่นั้นเคร่งครัดเป็นอย่างยิ่ง และอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดโดยสมาคมซูโม่ นักปล้ำซูโม่อาชีพจะใช้ชีวิตร่วมกันภายใต้ค่ายสังกัด (heya) ของตนเอง โดยแบบแผนการดำเนินชีวิตในทุกด้าน นับตั้งแต่อาหารการกิน ไปจนกระทั่งการแต่งกาย นั้น ถูกกำหนดด้วยประเพณีปฏิบัติอันเคร่งครัด
ลักษณะ
คู่ปล้ำจะมีรูปร่างอ้วนใหญ่ และจะต้องมีน้ำหนักตัวจะต้องไม่ต่ำกว่า 75 กก.ทั้งสองฝ่ายต้องพยายามทำให้อีกฝ่ายหนึ่งล้ม ทำให้อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายนอกเหนือจากฝ่าเท้าแตะกับพื้น หรือดันคู่ต่อสู้ให้ออกจากวงกลมขนาดเล็ก การต่อสู้ใช้เวลาไม่นานและเริ่มต้นด้วยพิธีกรรมซึ่งรวมถึงการโปรยเกลือบน พื้นในกรอบวงกลม เป็นเครื่องหมายของความบริสุทธิ์ เนื่องจากซูโม่เป็นกีฬาที่มีเกียรติ ผู้ที่ก้าวไปถึงตำแหน่ง "โยโกสุนะ" ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของซูโม่ถือว่าเป็นผู้พิชิตอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ฤดูกาลแข่งขันซูโม่ของนักซูโม่อาชีพ เปิดการแข่งขันปีละ 6 ครั้ง คือในเดือนมกราคม มีนาคม พฤษภาคม กรกฎาคม กันยายน และพฤศจิกายน โดยแต่ละครั้งใช้เวลานาน 15 วัน
เขียนโดย
Autthapon
วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553
ที่
04:45
เขียนโดย
Autthapon
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ที่
08:56
เขียนโดย
Autthapon
ที่
08:13
" มาเนคี เนะโกะ " ( MANEKI NEKO ) นั้นคืออะไร ? และหมายถึงอะไร ?
Can You Explain the Japanese " LUCKY CAT ? "
ด้วยมีคำถามมาจากหลายประเทศที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่อง ของ " มาเนคี เนะโกะ " ( MANEKI NEKO ) ที่ว่ามานี้กันมากนะคะ จึงอยากจะขอนำเสนอเรื่องและตำนานที่ว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงได้เรียกแมวที่เรา ๆ ท่าน ๆ มักจะได้เคยเห็นกันตามหนังสือการ์ตูนหรือตามห้างร้านที่กำลังนั่งทำท่ากวักมืออยู่นั้นให้ได้หายสงสัย และรู้จักกันดีขึ้นมามากกว่าเก่าอีกสักหน่อยนะคะ
แมวตัวเมียตัวที่กำลังทำท่ากวักมือเหมือนเรียกแขกหรือผู้ที่จะมาเยือนตัวนี้ของคนญี่ปุ่นนั้น ได้ตั้งชื่อ ให้ว่า " มาเนคี เนะโกะ " ( MANEKI NEKO ) แปลชื่อตามศัพท์ ก็จะได้ออกมาว่า " มาเนคี " คือกวักหรือเรียกโชค " เนะโกะ " คือคำเรียกชื่อสัตว์เลี้ยงพันธุ์หนึ่งคือแมว
เรื่องราวของแมวซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดหนึ่งนี้นั้น ได้เล่ากันว่า แมวได้เข้ามามีบทบาทและเป็นสัตว์เลี้ยงของชาวญี่ปุ่น โดยการได้ถูกนำข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากประเทศจีนผืนแผ่นดินใหญ่ มานานมากกว่า 1000 ปีมาแล้ว และยัง สันนิษฐานว่าการที่แมวได้ถูกเรียกจนกระทั่งได้กลายมาเป็นสัญญาลักษณ์และมีชื่อเสียงว่าเป็น " LUCKY CAT ? " ของ คนญี่ปุ่นในปัจจุบันนี้นั้น คงจะมีเหตุที่เกี่ยวพันตามมาพร้อมด้วยกับตัวแมว ตามความเชื่อถือของคนจีนที่มีเขียน อยู่ในสุภาษิตบทหนึ่งที่ว่า " neko kao aratte mimi o kotsureba sunawaji kekkuyobu " ( เมื่อแมวทำท่าล้างหน้า ถูหู เมื่อ ไหร่เมื่อนั้นแขกก็จะมาเยือน ) ที่คนญี่ปุ่นได้รับฟังและกล่าวถึงความสำคัญของแมวตอนสมัยที่แมวได้มาถึงญี่ปุ่นในตอนสมัยแรก ๆ...
และยังมีเรื่องที่ได้ถูกเล่าขานมาจากวัด " โชเน็นจิ " เมืองเกียวโตอีกอย่างมาว่า แมวสีขาว ( สามารถทำให้โชคชะตาดี ) แมวสีดำ ( จะช่วยป้องกันจากโรคร้าย ) และยังกล่าวไว้อีกว่า แมวสีทอง ( จะทำให้ร่ำรวยเงินทอง ) ส่วนแมวที่ยกขาเท้าหน้า ข้างขวาขึ้นบน (จะเรียกโชคและความสุข ) และแมวที่ยกขาเท้าหน้าข้างซ้ายขึ้นบนนั้น ( จะเรียกแขกและผู้มาเยือน ขายอะไร ก็จะขายดิบ ขายดี ) ได้มีเรื่องเล่าถึงความเป็นมาของ" มาเนคี เนะโกะ " ( MANEKI NEKO ) กันอยู่หลายอย่างตามแต่ ละสมัยที่เกิดขึ้น
เรื่องที่เล่าถึงกำเนิดของ" มาเนคี เนะโกะ " ( MANEKI NEKO ) ที่เก่าแก่และดั้งเดิมที่สุดนั้น ก็เห็นว่าจะมีอยู่ เรื่องเดียวที่มีชื่อเสียงมากกว่าเรื่องอื่น ๆ จนเกือบที่จะพูดได้ว่าเป็นเรื่องจริง ๆ เรื่องแท้ ๆ เลยทีเดียวนั้น ก็มีอยู่ว่านานมาแล้วที่วัด " โกโตกุจิ " ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่เล็ก ๆ ไม่มีชื่อเสียงและมีบทบาทสำคัญอะไรมากมายในสมัยนั้น ตั้งอยู่ในตำบล " เซตากายะ " ที่วัดนี้มีหลวงพ่อผู้ยากจนได้อาศัยอยู่กับแมวสีขาวปลอดตัวหนึ่ง และถึงแม้ว่าจะยากจนข้าวปลาอาหารที่มีไว้สำหรับเป็นอาหาร ของหลวงพ่อเองนั้นก็น้อยนิดจนเรียกว่าไม่ค่อยจะพอ แต่ด้วยความที่ท่านนั้นทั้งรักและเอ็นดูแมวตัวนี้มาก ท่านจึงมักจะแบ่ง อาหารของท่านที่มีอยู่น้อยนิดนั้น ให้แมวได้กินทุกครั้งไม่เคยให้ต้องอดและหิวด้วยตลอดมา...และในทุกวันและทุก ครั้งที่ ได้ให้อาหารกับแมว ท่านก็จะเอามือลูบหัวของมันไปแล้วพูดกับมันว่า " ดูซิ..หลวงพ่อ ละก็เอ็นดูและสงสารเจ้ามากมายขนาด นี้ทีเดียวนะ เจ้าช่วยตอบแทนด้วยการนำสิ่งที่ดี ๆ เข้ามาให้บ้างสิ " ท่านจะพูดคุยกับมันเหมือนเป็นญาติมิตรที่สนิทสนมกัน มาช้านานเลยทีเดียว
แล้วก็ได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นในฤดูร้อนของวันหนึ่งเข้า วันนั้นหลวงพ่อท่านได้เดินไปที่หน้าวัด แล้วท่านก็พลัน ได้เห็นว่าได้มี " ทาก้า โทรี " ( ซามูไรผู้ล่าสัตว์ด้วยนกอินทรีย์ ) มายืนเมียงมองอยู่ที่หน้าวัดกับพวกบริวารกลุ่มหนึ่ง และเมื่อ " ทาก้า โทรี " กับบริวารกลุ่มนั้นได้มองมาเห็นหลวงพ่อเข้าก็เดินเข้ามาที่ใกล้ ๆ แล้วพูดบอกกับหลวงพ่อว่า " เมื่อสักครู่นี้ ตอนที่พวกเราได้กำลังที่จะเดินผ่านมาทางหน้าวัดนี้อยู่พอดีนั้น ได้มองเห็นแมวสีขาวตัวหนึ่ง ทำท่ากวักมือเรียกหลายครั้งหลายหน เหมือน อย่างกับจะเรียกให้เขามาในวัด ยังไงยังงั้นเลยทีเดียว พวกเราให้เป็นสงสัยกันอย่างมากว่ามีอะไรที่ในวัดนะ จึงได้มายืนมองดูกันอยู่อย่างที่ หลวงพ่อได้เห็นนี่แหละ แต่ว่าไหนก็หยุดลงตรงนี้แล้ว ก็ขออนุญาติเข้าไปนั้งพักให้หายเหนื่อยในวัดสักหน่อยได้ไหม หลวงพ่อ " หลวงพ่อเมื่อได้ฟังดังนั้นก็กล่าวอนุญาติและได้เชิญผู้คนเหล่านั้นให้เข้าไป ข้างใน และขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปนั้น ก็เกิดความ ปรวนแปลของดินฟ้าอากาศขึ้นมาอย่างกระทันหัน ท้องฟ้ามืดมนดำมืดไปหมด แล้วฝนก็ได้ตกลงมาอย่างหนักอย่างไม่มีเคล้ามาก่อนเลยว่าตก ลมนั้นก็เกิดโฮมพัดกระหน่ำขึ้นมาอย่างแรง และอยู่ ๆ พลันฟ้าก็ได้ผ่าลงมาที่ตรงหน้าวัดนั้น เสียงสนั่นหวั่นๆไหวไปหมด " ทาก้า โทรี " ผู้นั้นให้เกิดความปิติและดีใจเป็นอย่างมาก และได้พูดขึ้นว่า " เป็นเพราะแมวได้กวักมือเรียกให้เข้ามาหลบฝน เลยพ้นเคราะห์จากการต้องถูกฟ้าผ่าตายหมดทั้งขบวนมาได้ พวกเราโชคดีอย่างมากที่เชื่อคำเชิญของแมวตัวนั้น " แล้ว " ทาก้า โทรี " ผู้นั้นก็ได้แนะนำตัวว่า เขานั้นมีนามว่า " อี่อี่ นาโอตากะ " เป็นโตโน่ผู้ร่ำรวยของเมืองคิโคแนะเลยทีเดียว จึงด้วยการเป็นเช่นนี้...ท่านซามูไรที่เป็นถึงโตโน่ซามะผู้นั้น จึงขออนุญาติหลวงพ่อขอเป็นผู้อุปถัมและขอเกื้อกูลวัดแห่งนั้น ตั้งแต่บัดนั้นมาเลยทีเดียว ส่วนแมวตัวนั้น เมื่อมันอายุมากขึ้นก็ได้ตายลงไป หลวงพอท่านก็ได้สร้าง " โอฮากะ " ( หลุมศพ ) บรรจุมันไว้อย่างดี จารึก ชื่อไว้เพื่อเป็นหลักฐานว่า แมวตัวนี้เป็นแมวที่สามารถจะบรรดาลเปลี่ยนโชคชะตาให้ได้ จนมีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้
Credit : สุขุมาลย์
เขียนโดย
Autthapon
วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ที่
04:49
วัฒนธรรม..การ์ตูนญี่ปุ่นการ์ตูนเรื่อง (Comics) คือ หนังสือที่ดำเนินเรื่องด้วยภาพการ์ตูนแทนที่จะมีตัวหนังสือบรรยายเป็นหน้าๆ อย่างหนังสือธรรมดาก็กลายเป็นภาพทั้งหมด คำบรรยายหากจะมีก็เป็นเพียงข้อความสั้นๆให้รู้ว่าใคร ที่ไหน ส่วนจะให้ทำอะไรอย่างไรนั้น จะบรรยายเป็นคำพูดของตัวละคร ผู้อ่านจะมีความรู้สึกเหมือนดูละคร การ์ตูนจะมีคุณสมบัติเบื้องต้น คือ ต้องง่าย (Simple) มัก เน้นเพียงภาพโครงร่าง มีการ์ตูนบางเรื่องที่ใช้ภาพซับซ้อน แต่ก็สามารถเข้าใจได้ง่ายในเวลารวดเร็ว อีกคุณสมบัติหนึ่งของการ์ตูน คือ ลักษณะเกนความเป็นจริง (Exaggerated) เช่นภาพหน้าคนจะบิดเบือนไปจากความเป็นจริง ขนาดของดวงตาจะใหญ่ผิดปกติ
แนวเรื่องของการ์ตูนสามารถแบ่งออกได้เป็น 9 ประเภท ได้แก่
1. แนวนิยายวิทยาศาสตร์
2. แนวผีสางและสัตว์ประหลาด
3. แนวความรักของหนุ่มสาว
4. แนวการแข่งขันเกมและกีฬา
5. แนวการผจญภัยของตัวเอกและคณะ
6. แนวผนวกชีวิตจริงกับสิ่งมหัศจรรย์
7. แนวการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะและอธรรม
8. แนวการดำเนินชีวิตของตัวแสดง
9. แนวการให้ความรู้ในด้านต่างๆ
โดยเฉพาะซึ่งมักจะเสนอความรู้นั้น ผ่านตัวแสดงและเรื่องราวที่สร้างสรรค์อย่างสนุกสนาน
คุณสมบัติของหนังสือการ์ตูน
ประโยชน์ ที่ได้รับเป็นการสนองตอบต่อความต้องการและความสนใจอันเป็นพื้นฐานเพื่อการ เรียนรู้ และปลูกฝังให้รักการอ่าน ในอันที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ โดยการถ่ายถอดจากหนังสือการ์ตูนซึ่งอาจจะเกิดโทษได้จากการที่เด็กเรียนรู้ ก่อนวัยอันสมควร ถ้ามีเนื้อหาที่เสนอเกี่ยวกับเรื่องเพศหรือความน่ากลัวที่ก่อให้เกิดความ เข้าใจผิดได้
วัฒนธรรม หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและได้เรียนรู้ยอมรับเข้ามาเพื่อตอบสนองความต้องการ ของสมาชิกในสังคม และการใช้สังคมยอมรับสิ่งนั้นๆมีการสืบทอด มีการเลือกสรรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาและเงื่อนไขให้เหมาะสมกับสภาพ แวดล้อมก่อให้เกิดแบบแผนที่เป็นความคิด และการกระทำที่ยึดถือปฏิบัติกันเพื่อเป็นวิถีชีวิตคนในสังคม
สังคมและวัฒนธรรมญี่ปุ่น
การ์ตูนญี่ปุ่นที่แปลเป็นไทยนั้น ได้มีการลักษณะเชิงวัฒนธรรมออกมา และมีลักษณะเช่นใดโดยผ่านตัวละครในการ์ตูนเพื่อจะได้ทราบถึงเนื้อหาเชิง วัฒนธรรมที่ปรากฏอยู่ในการ์ตูนนั้น เพราะการ์ตูนเป็นตัวสื่อสารทางวัฒนธรรมได้ ซึ่งในการสื่อสารโดยทั่วไปมีบริบททางสังคมและวัฒนธรรมล้อมกรอบอยู่จึงจำเป็น ต้องเรียนรู้ถึงวัฒนธรรม ตลอดจนสังคมและลักษณะการดำเนินชีวิตของคนญี่ปุ่น ในที่นี้จึงขอกล่าวทฤษฎีและแนวคิดของนักวิชาการหลายๆท่านที่เป็นที่ยอมรับใน เรื่องของการอธิบายลักษณะสังคมและวัฒนธรรมญี่ปุ่น
ลักษณะเด่นของวัฒนธรรมญี่ปุ่น
1. สังคม ญี่ปุ่นให้ความสำคัญแก่กลุ่มมาก สังคมตะวันตกมักนิยมให้ความสำคัญแก่คุณสมบัติของบุคคลในฐานะปัจเจกบุคคล แต่สังคมญี่ปุ่นนั้นเน้นความสำคัญของกลุ่มหรือสถาบันที่บุคคลสังกัดอยู่มาก กลุ่มต่างๆเหล่านี้ มีแรงกดดันบังคับต่อสมาชิกด้วยการควบคุมในลักษณะต่างๆมาก คนในกลุ่มจึงอุทิศตัวเพื่อกลุ่ม
2. สังคมญี่ปุ่นเน้นการจัดอันดับสูงต่ำในกลุ่มก็เน้นอาวุโสมากกว่าความสามารถ รุ่นพี่รุ่นน้อง ในวงการเดียวกันก็แยกเป็นหลายระดับ
3. การทำงานมีความขยันหมั่นเพียรและมีความมานะพยายาม
4. ความซื่อสัตย์และจงรักภักดี
5. ความมีระเบียบวินัย
6. การให้ความสำคัญต่อประวัติการศึกษา
7. การแบ่งบทบาทหน้าที่ของชายหญิง
แก่นความคิดของการ์ตูนโดยส่วนใหญ่แสดงออกถึงความมานะพยายามของตัวละครที่ต้องการ บรรลุสิ่งที่มุ่งหวัง ด้วยความอดทนและขยันหมั่นเพียร อันเป็นลักษณะเด่นของวัฒนธรรมญี่ปุ่น ในส่วน วัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับค่านิยมพบว่า ค่านิยมที่เป็นลักษณะดั้งเดิมของญี่ปุ่นยังปรากฏอยู่มากในการ์ตูน ได้แก่ค่านิยมความเป็นกลุ่มและนึกต่อกลุ่ม ค่านิยมความมานะพยายาม ค่านิยมความซื่อสัตย์ความจงรักภักดีและความกล้าหาญ ค่านิยมความมีระเบียบวินัย ส่วนลักษณะค่านิยม ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากดั้งเดิม ได้แก่ ค่านิยมการจัดอันดับสูงต่ำที่มีการเน้นความสามรถแทนความอาวุโสมากขึ้น และค่านิยมที่แสดงความเป็นปัจเจกบุคคลมากกว่าความเป็นกลุ่ม ซึ่งเป็นลักษณะที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรม