“ออนเซ็น” 温泉 แก้ผ้าหมู่อาบน้ำแร่แช่น้ำร้อน



ว่า กันว่าใครไปญี่ปุ่นแล้วไม่ได้แช่น้ำแร่ร้อน ก็เหมือนไปไม่ถึงญี่ปุ่นค่ะ หญิงไทยใจเกินร้อยอย่างเราเมื่อไปถึงแดนปลาดิบทั้งที จะไม่ลองได้ยังไง... แต่ปัญหาก็อยู่ตรงที่ว่า การจะแช่น้ำแร่ร้อนในญี่ปุ่น ต้องแก้ผ้า(ชนิดร่อนจ้อนละนะ) แล้วก็ไปนั่งแช่นอนแช่รวมกับคนอื่น แต่ยังดีที่เค้าแยกชาย-หญิง แต่ถึงอย่างงั้น เราก็ยังรู้สึก”จั๊กกะเดียม”อยู่ดี แต่สุดท้ายไหน ๆ ไปถึงถิ่น ก็ต้องลองดู



ที่ ญี่ปุ่น มีที่แช่น้ำแร่ร้อนทั่วประเทศเลยค่ะ ทั้งตามโรงแรม ตามรีสอร์ท แล้วก็มีโรงแช่น้ำแร่เฉพาะที่ไม่มีบริการอย่างอื่นนอกจากบริการแช่น้ำแร่ อย่างเดียว สนน ราคาก็ขึ้นอยู่กับบริการค่ะ มีตั้งแต่หลายพันเยนไปจนถึงหมื่นเยนก็มี แต่สิ่งแรกที่ควรระวังก่อนจะเข้าไปแช่ ก็คือ ต้องสังเกตให้ดีว่าฝั่งไหนสำหรับผู้หญิง ฝั่งไหนสำหรับผู้ชาย เพราะไม่มีภาษาอังกฤษช่วยเลย ก็ต้องจำตัวหนังสือภาษาญี่ปุ่นกันเอาเองนะ



พอ เข้าไปแล้วก็จะมีชั้นวางเสื้อผ้า ซึ่งตรงนี้แหละที่เราต้องถอดเสื้อผ้า ชนิดหมดเนื้อหมดตัวกันเลย ถอดแล้วก็วางไว้ในตะกร้าที่เค้าเตรียมไว้ให้ สิ่งที่จะหยิบติดตัวเข้าไปได้มีอย่างเดียว ก็คือผ้าขนหนูผืนน้อย ขนาดก็พอๆ กับผ้าขนหนูที่เราใช้เช็ดหัว สงสัยล่ะสิว่าเค้าใช้ผ้าขนหนูผืนนี้กันยังไง อ่านต่อไปนะ แล้วจะเฉลยให้รู้



ถอด เสื้อผ้าแล้ว ก็ต้องไปอาบน้ำสระผม ชำระล้างร่างกายให้สะอาดซะก่อนค่ะ เกือบทุกที่เค้าจะมีครีมอาบน้ำกับยาสระผมไว้ให้บริการอยู่แล้ว เรื่องนี้หายห่วง คนญี่ปุ่นบางคนถึงขั้นแปรงฟันเลยนะ เพื่อให้สะอาดสุดๆ แบบว่าเป็นมารยาทด้วยนะ เพราะเวลาไปแช่น้ำร้อนในอ่างรวมกับคนอื่นแล้ว ก็จะได้ไม่รังเกียจซึ่งกันและกันไง



อาบ น้ำชำระร่างกายสะอาดแล้วก็ได้เวลาลงแช่กันละนะ ก็จะมีทั้งแช่ในที่ร่มกับแช่กันกลางแจ้ง ก็แล้วแต่ว่าใครจะสะดวกแบบไหน เมื่อกี้เกริ่นไว้ว่าเรามีผ้าขนหนูผืนน้อยติดมือเข้ามาด้วยใช่ป่ะ จริงๆแล้ว คนญี่ปุ่นเค้าเอาผ้าที่ว่ามาเช็ดหน้าเช็ดตาหรือไม่ก็เอามาถูขี้ไคลเวลาอาบ น้ำก็ได้ แต่ต้องระวังนะว่าเค้าจะไม่เอาผ้าไปบิด ไปล้าง หรือเอาไปจุ่มในบ่อน้ำแร่ บางคนจะวางไว้บนขอบบ่อ หรือไม่ก็เทินไว้บนหัว แบบว่าเดี๋ยวคนอื่นเค้าจะรังเกียจเอาไง ส่วนหญิงไทยอย่างเราก็เอาผ้าผืนน้อยมาใช้ปิด..(เซ็นเซอร์!!).. ตอนไม่ได้แช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน แต่แหม อย่างที่บอกมันเป็นผ้าผืนน้อย ผลก็คือปิดบนก็เห็นล่าง ปิดล่างก็เห็นบน อันนี้คงต้องเลือกกันเอาเองละกัน



บรรยากาศระหว่างแช่ สบ๊าย..สบาย
ระยะ เวลาที่แช่ก็แล้วแต่ค่ะ ความชอบใจ แต่อย่านานเกินไปล่ะ เพราะอาจรู้สึกเหมือนจะเป็นลมได้ เพราะน้ำที่แช่เป็นน้ำแร่แถมยังร้อนด้วย โดยเฉพาะคนที่ไม่ชินอย่างเราๆ พอแช่เสร็จ ก็ต้องกลับมาอาบน้ำสระผมกันอีกที ก็เป็นอันเสร็จพิธีค่ะ แต่ขอบอกว่า แช่แล้วรู้สึกสบายตัวสุดๆ ไว้มีเรื่องอะไรที่น่าสนใจเกี่ยวกับญี่ปุ่น จะเอามาเล่าสู่กันฟังอีกนะคะ さようなら(ซาโยนาระ)

Credit : ThelastKGB

แมวนางกวัก ( MANEKINEKO )



" มาเนคี เนะโกะ " ( MANEKI NEKO ) นั้นคืออะไร ? และหมายถึงอะไร ?

Can You Explain the Japanese " LUCKY CAT ? "

ด้วยมีคำถามมาจากหลายประเทศที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่อง ของ " มาเนคี เนะโกะ " ( MANEKI NEKO ) ที่ว่ามานี้กันมากนะคะ จึงอยากจะขอนำเสนอเรื่องและตำนานที่ว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงได้เรียกแมวที่เรา ๆ ท่าน ๆ มักจะได้เคยเห็นกันตามหนังสือการ์ตูนหรือตามห้างร้านที่กำลังนั่งทำท่ากวักมืออยู่นั้นให้ได้หายสงสัย และรู้จักกันดีขึ้นมามากกว่าเก่าอีกสักหน่อยนะคะ

แมวตัวเมียตัวที่กำลังทำท่ากวักมือเหมือนเรียกแขกหรือผู้ที่จะมาเยือนตัวนี้ของคนญี่ปุ่นนั้น ได้ตั้งชื่อ ให้ว่า " มาเนคี เนะโกะ " ( MANEKI NEKO ) แปลชื่อตามศัพท์ ก็จะได้ออกมาว่า " มาเนคี " คือกวักหรือเรียกโชค " เนะโกะ " คือคำเรียกชื่อสัตว์เลี้ยงพันธุ์หนึ่งคือแมว

เรื่องราวของแมวซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดหนึ่งนี้นั้น ได้เล่ากันว่า แมวได้เข้ามามีบทบาทและเป็นสัตว์เลี้ยงของชาวญี่ปุ่น โดยการได้ถูกนำข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากประเทศจีนผืนแผ่นดินใหญ่ มานานมากกว่า 1000 ปีมาแล้ว และยัง สันนิษฐานว่าการที่แมวได้ถูกเรียกจนกระทั่งได้กลายมาเป็นสัญญาลักษณ์และมีชื่อเสียงว่าเป็น " LUCKY CAT ? " ของ คนญี่ปุ่นในปัจจุบันนี้นั้น คงจะมีเหตุที่เกี่ยวพันตามมาพร้อมด้วยกับตัวแมว ตามความเชื่อถือของคนจีนที่มีเขียน อยู่ในสุภาษิตบทหนึ่งที่ว่า " neko kao aratte mimi o kotsureba sunawaji kekkuyobu " ( เมื่อแมวทำท่าล้างหน้า ถูหู เมื่อ ไหร่เมื่อนั้นแขกก็จะมาเยือน ) ที่คนญี่ปุ่นได้รับฟังและกล่าวถึงความสำคัญของแมวตอนสมัยที่แมวได้มาถึงญี่ปุ่นในตอนสมัยแรก ๆ...

และยังมีเรื่องที่ได้ถูกเล่าขานมาจากวัด " โชเน็นจิ " เมืองเกียวโตอีกอย่างมาว่า แมวสีขาว ( สามารถทำให้โชคชะตาดี ) แมวสีดำ ( จะช่วยป้องกันจากโรคร้าย ) และยังกล่าวไว้อีกว่า แมวสีทอง ( จะทำให้ร่ำรวยเงินทอง ) ส่วนแมวที่ยกขาเท้าหน้า ข้างขวาขึ้นบน (จะเรียกโชคและความสุข ) และแมวที่ยกขาเท้าหน้าข้างซ้ายขึ้นบนนั้น ( จะเรียกแขกและผู้มาเยือน ขายอะไร ก็จะขายดิบ ขายดี ) ได้มีเรื่องเล่าถึงความเป็นมาของ" มาเนคี เนะโกะ " ( MANEKI NEKO ) กันอยู่หลายอย่างตามแต่ ละสมัยที่เกิดขึ้น

เรื่องที่เล่าถึงกำเนิดของ" มาเนคี เนะโกะ " ( MANEKI NEKO ) ที่เก่าแก่และดั้งเดิมที่สุดนั้น ก็เห็นว่าจะมีอยู่ เรื่องเดียวที่มีชื่อเสียงมากกว่าเรื่องอื่น ๆ จนเกือบที่จะพูดได้ว่าเป็นเรื่องจริง ๆ เรื่องแท้ ๆ เลยทีเดียวนั้น ก็มีอยู่ว่านานมาแล้วที่วัด " โกโตกุจิ " ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่เล็ก ๆ ไม่มีชื่อเสียงและมีบทบาทสำคัญอะไรมากมายในสมัยนั้น ตั้งอยู่ในตำบล " เซตากายะ " ที่วัดนี้มีหลวงพ่อผู้ยากจนได้อาศัยอยู่กับแมวสีขาวปลอดตัวหนึ่ง และถึงแม้ว่าจะยากจนข้าวปลาอาหารที่มีไว้สำหรับเป็นอาหาร ของหลวงพ่อเองนั้นก็น้อยนิดจนเรียกว่าไม่ค่อยจะพอ แต่ด้วยความที่ท่านนั้นทั้งรักและเอ็นดูแมวตัวนี้มาก ท่านจึงมักจะแบ่ง อาหารของท่านที่มีอยู่น้อยนิดนั้น ให้แมวได้กินทุกครั้งไม่เคยให้ต้องอดและหิวด้วยตลอดมา...และในทุกวันและทุก ครั้งที่ ได้ให้อาหารกับแมว ท่านก็จะเอามือลูบหัวของมันไปแล้วพูดกับมันว่า " ดูซิ..หลวงพ่อ ละก็เอ็นดูและสงสารเจ้ามากมายขนาด นี้ทีเดียวนะ เจ้าช่วยตอบแทนด้วยการนำสิ่งที่ดี ๆ เข้ามาให้บ้างสิ " ท่านจะพูดคุยกับมันเหมือนเป็นญาติมิตรที่สนิทสนมกัน มาช้านานเลยทีเดียว

แล้วก็ได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นในฤดูร้อนของวันหนึ่งเข้า วันนั้นหลวงพ่อท่านได้เดินไปที่หน้าวัด แล้วท่านก็พลัน ได้เห็นว่าได้มี " ทาก้า โทรี " ( ซามูไรผู้ล่าสัตว์ด้วยนกอินทรีย์ ) มายืนเมียงมองอยู่ที่หน้าวัดกับพวกบริวารกลุ่มหนึ่ง และเมื่อ " ทาก้า โทรี " กับบริวารกลุ่มนั้นได้มองมาเห็นหลวงพ่อเข้าก็เดินเข้ามาที่ใกล้ ๆ แล้วพูดบอกกับหลวงพ่อว่า " เมื่อสักครู่นี้ ตอนที่พวกเราได้กำลังที่จะเดินผ่านมาทางหน้าวัดนี้อยู่พอดีนั้น ได้มองเห็นแมวสีขาวตัวหนึ่ง ทำท่ากวักมือเรียกหลายครั้งหลายหน เหมือน อย่างกับจะเรียกให้เขามาในวัด ยังไงยังงั้นเลยทีเดียว พวกเราให้เป็นสงสัยกันอย่างมากว่ามีอะไรที่ในวัดนะ จึงได้มายืนมองดูกันอยู่อย่างที่ หลวงพ่อได้เห็นนี่แหละ แต่ว่าไหนก็หยุดลงตรงนี้แล้ว ก็ขออนุญาติเข้าไปนั้งพักให้หายเหนื่อยในวัดสักหน่อยได้ไหม หลวงพ่อ " หลวงพ่อเมื่อได้ฟังดังนั้นก็กล่าวอนุญาติและได้เชิญผู้คนเหล่านั้นให้เข้าไป ข้างใน และขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปนั้น ก็เกิดความ ปรวนแปลของดินฟ้าอากาศขึ้นมาอย่างกระทันหัน ท้องฟ้ามืดมนดำมืดไปหมด แล้วฝนก็ได้ตกลงมาอย่างหนักอย่างไม่มีเคล้ามาก่อนเลยว่าตก ลมนั้นก็เกิดโฮมพัดกระหน่ำขึ้นมาอย่างแรง และอยู่ ๆ พลันฟ้าก็ได้ผ่าลงมาที่ตรงหน้าวัดนั้น เสียงสนั่นหวั่นๆไหวไปหมด " ทาก้า โทรี " ผู้นั้นให้เกิดความปิติและดีใจเป็นอย่างมาก และได้พูดขึ้นว่า " เป็นเพราะแมวได้กวักมือเรียกให้เข้ามาหลบฝน เลยพ้นเคราะห์จากการต้องถูกฟ้าผ่าตายหมดทั้งขบวนมาได้ พวกเราโชคดีอย่างมากที่เชื่อคำเชิญของแมวตัวนั้น " แล้ว " ทาก้า โทรี " ผู้นั้นก็ได้แนะนำตัวว่า เขานั้นมีนามว่า " อี่อี่ นาโอตากะ " เป็นโตโน่ผู้ร่ำรวยของเมืองคิโคแนะเลยทีเดียว จึงด้วยการเป็นเช่นนี้...ท่านซามูไรที่เป็นถึงโตโน่ซามะผู้นั้น จึงขออนุญาติหลวงพ่อขอเป็นผู้อุปถัมและขอเกื้อกูลวัดแห่งนั้น ตั้งแต่บัดนั้นมาเลยทีเดียว ส่วนแมวตัวนั้น เมื่อมันอายุมากขึ้นก็ได้ตายลงไป หลวงพอท่านก็ได้สร้าง " โอฮากะ " ( หลุมศพ ) บรรจุมันไว้อย่างดี จารึก ชื่อไว้เพื่อเป็นหลักฐานว่า แมวตัวนี้เป็นแมวที่สามารถจะบรรดาลเปลี่ยนโชคชะตาให้ได้ จนมีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้

Credit : สุขุมาลย์

วัฒนธรรม...การ์ตูนญี่ปุ่น

วัฒนธรรม..การ์ตูนญี่ปุ่น
การ์ตูนเรื่อง (Comics) คือ หนังสือที่ดำเนินเรื่องด้วยภาพการ์ตูนแทนที่จะมีตัวหนังสือบรรยายเป็นหน้าๆ อย่างหนังสือธรรมดาก็กลายเป็นภาพทั้งหมด คำบรรยายหากจะมีก็เป็นเพียงข้อความสั้นๆให้รู้ว่าใคร ที่ไหน ส่วนจะให้ทำอะไรอย่างไรนั้น จะบรรยายเป็นคำพูดของตัวละคร ผู้อ่านจะมีความรู้สึกเหมือนดูละคร การ์ตูนจะมีคุณสมบัติเบื้องต้น คือ ต้องง่าย (Simple) มัก เน้นเพียงภาพโครงร่าง มีการ์ตูนบางเรื่องที่ใช้ภาพซับซ้อน แต่ก็สามารถเข้าใจได้ง่ายในเวลารวดเร็ว อีกคุณสมบัติหนึ่งของการ์ตูน คือ ลักษณะเกนความเป็นจริง (Exaggerated) เช่นภาพหน้าคนจะบิดเบือนไปจากความเป็นจริง ขนาดของดวงตาจะใหญ่ผิดปกติ
แนวเรื่องของการ์ตูนสามารถแบ่งออกได้เป็น 9 ประเภท ได้แก่
1. แนวนิยายวิทยาศาสตร์
2. แนวผีสางและสัตว์ประหลาด
3. แนวความรักของหนุ่มสาว
4. แนวการแข่งขันเกมและกีฬา
5. แนวการผจญภัยของตัวเอกและคณะ
6. แนวผนวกชีวิตจริงกับสิ่งมหัศจรรย์
7. แนวการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะและอธรรม
8. แนวการดำเนินชีวิตของตัวแสดง
9. แนวการให้ความรู้ในด้านต่างๆ
โดยเฉพาะซึ่งมักจะเสนอความรู้นั้น ผ่านตัวแสดงและเรื่องราวที่สร้างสรรค์อย่างสนุกสนาน
คุณสมบัติของหนังสือการ์ตูน
ประโยชน์ ที่ได้รับเป็นการสนองตอบต่อความต้องการและความสนใจอันเป็นพื้นฐานเพื่อการ เรียนรู้ และปลูกฝังให้รักการอ่าน ในอันที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ โดยการถ่ายถอดจากหนังสือการ์ตูนซึ่งอาจจะเกิดโทษได้จากการที่เด็กเรียนรู้ ก่อนวัยอันสมควร ถ้ามีเนื้อหาที่เสนอเกี่ยวกับเรื่องเพศหรือความน่ากลัวที่ก่อให้เกิดความ เข้าใจผิดได้
วัฒนธรรม หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและได้เรียนรู้ยอมรับเข้ามาเพื่อตอบสนองความต้องการ ของสมาชิกในสังคม และการใช้สังคมยอมรับสิ่งนั้นๆมีการสืบทอด มีการเลือกสรรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาและเงื่อนไขให้เหมาะสมกับสภาพ แวดล้อมก่อให้เกิดแบบแผนที่เป็นความคิด และการกระทำที่ยึดถือปฏิบัติกันเพื่อเป็นวิถีชีวิตคนในสังคม
สังคมและวัฒนธรรมญี่ปุ่น
การ์ตูนญี่ปุ่นที่แปลเป็นไทยนั้น ได้มีการลักษณะเชิงวัฒนธรรมออกมา และมีลักษณะเช่นใดโดยผ่านตัวละครในการ์ตูนเพื่อจะได้ทราบถึงเนื้อหาเชิง วัฒนธรรมที่ปรากฏอยู่ในการ์ตูนนั้น เพราะการ์ตูนเป็นตัวสื่อสารทางวัฒนธรรมได้ ซึ่งในการสื่อสารโดยทั่วไปมีบริบททางสังคมและวัฒนธรรมล้อมกรอบอยู่จึงจำเป็น ต้องเรียนรู้ถึงวัฒนธรรม ตลอดจนสังคมและลักษณะการดำเนินชีวิตของคนญี่ปุ่น ในที่นี้จึงขอกล่าวทฤษฎีและแนวคิดของนักวิชาการหลายๆท่านที่เป็นที่ยอมรับใน เรื่องของการอธิบายลักษณะสังคมและวัฒนธรรมญี่ปุ่น
ลักษณะเด่นของวัฒนธรรมญี่ปุ่น
1. สังคม ญี่ปุ่นให้ความสำคัญแก่กลุ่มมาก สังคมตะวันตกมักนิยมให้ความสำคัญแก่คุณสมบัติของบุคคลในฐานะปัจเจกบุคคล แต่สังคมญี่ปุ่นนั้นเน้นความสำคัญของกลุ่มหรือสถาบันที่บุคคลสังกัดอยู่มาก กลุ่มต่างๆเหล่านี้ มีแรงกดดันบังคับต่อสมาชิกด้วยการควบคุมในลักษณะต่างๆมาก คนในกลุ่มจึงอุทิศตัวเพื่อกลุ่ม
2. สังคมญี่ปุ่นเน้นการจัดอันดับสูงต่ำในกลุ่มก็เน้นอาวุโสมากกว่าความสามารถ รุ่นพี่รุ่นน้อง ในวงการเดียวกันก็แยกเป็นหลายระดับ
3. การทำงานมีความขยันหมั่นเพียรและมีความมานะพยายาม
4. ความซื่อสัตย์และจงรักภักดี
5. ความมีระเบียบวินัย
6. การให้ความสำคัญต่อประวัติการศึกษา
7. การแบ่งบทบาทหน้าที่ของชายหญิง

แก่นความคิดของการ์ตูนโดยส่วนใหญ่แสดงออกถึงความมานะพยายามของตัวละครที่ต้องการ บรรลุสิ่งที่มุ่งหวัง ด้วยความอดทนและขยันหมั่นเพียร อันเป็นลักษณะเด่นของวัฒนธรรมญี่ปุ่น ในส่วน วัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับค่านิยมพบว่า ค่านิยมที่เป็นลักษณะดั้งเดิมของญี่ปุ่นยังปรากฏอยู่มากในการ์ตูน ได้แก่ค่านิยมความเป็นกลุ่มและนึกต่อกลุ่ม ค่านิยมความมานะพยายาม ค่านิยมความซื่อสัตย์ความจงรักภักดีและความกล้าหาญ ค่านิยมความมีระเบียบวินัย ส่วนลักษณะค่านิยม ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากดั้งเดิม ได้แก่ ค่านิยมการจัดอันดับสูงต่ำที่มีการเน้นความสามรถแทนความอาวุโสมากขึ้น และค่านิยมที่แสดงความเป็นปัจเจกบุคคลมากกว่าความเป็นกลุ่ม ซึ่งเป็นลักษณะที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรม

ชม ดอกซากุระ ที่ญี่ปุ่น
โยโกโซะ เจแปน ยินดีต้อนรับสู่ประเทศญี่ปุ่น เป็นคำที่ได้ยินบ่อยเวลา ที่ชาวต่างชาติเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น ซี่งประเทศญี่ปุ่นนั้นนอกจากชาวต่างชาติจะเดินทางมาท่องเที่ยวกันอย่างมาก มายแล้ว ชาวญี่ปุ่นเองก็นิยมท่องเที่ยวในประเทศกันเป็นจำนวนมาก ยิ่งเป็นในช่วงเศรษฐกิจไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ยิ่งทำให้ชาวญี่ปุ่นซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของความเป็นชาตินิยมอยู่แล้ว ยิ่งท่องเที่ยวในประเทศกันมากขึ้น

ใน บรรดาฤดูกาลทั้ง 4 ฤดูขอบประเทศญี่ปุ่นแล้ว อันประกอบด้วย ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูใบไม้ผลิ นั้น ฤดูกาลที่ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบมากที่สุดเห็นจะเป็น ฤดูที่ดอกซากุระบาน หรือ ฤดูใบไม้ผลินั่นเอง ไม่เพียงแต่จะได้เห็นดอกซากุระสวย ๆ แล้ว อากาศภายในประเทศญี่ปุ่นจะค่อย ๆ อบอุ่นขึ้น ทำให้เหมาะแก่การท่องเที่ยว ว่ากันว่า ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบการชมดอกซากุระมาตั้งแต่ 1,300 ปีก่อน จากหลักฐานทางเอกสารในยุคนั้น ทำให้ทราบว่าชาวญี่ปุ่นชื่นชอบในความงามของดอกซากุระมาตั้งแต่โบราณ


ใน ทุก ๆ ปี กรมอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่นจะพยากรณ์ช่วงเวลาที่ดอกซากุระจะบาน มาอวดโฉม ให้ประชาชนได้ทราบล่วงหน้า ซี่งทำให้ประชาชนได้สามารถวางแผนการเดินทางไปชมดอกซากุระได้ตามช่วงเวลาดัง ที่กรมอุตุฯ แจ้ง ซึ่งกรมอุตุฯ ของประเทศญี่ปุ่นนั้น ขึ้นชื่อเรื่องการพยากรณ์อากาศว่าแม่นยำมาก โดยดอกซากุระจะเริ่มบานจากทางตอนใต้ของประเทศ ไล่ขึ้นไปทางตอนเหนือ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละปี ตามสภาพอากาศ ซึ่งการประมาณการณ์แล้ว ใน 1 ปี ดอกซากุระจะบานเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น จึงทำให้การชมดอกซากุระบานนั้น ให้ความรู้สึกวิเศษล้ำค่า แม้ในยามที่มันร่วงโรย ก็ยังสามารถให้บรรยากาศอันโรแมนติก งดงามที่เรียกว่า วะบิซะบิ หมายถึง ความงามอันแสนเศร้า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนของชาวญี่ปุ่น
ดอกซากุระนั้น แม้ชื่อจะเหมือน ๆ กัน แต่ความเป็นจริงแล้วซะกุระมีสายพันธุ์กว่า 300 สายพันธุ์แตกต่างกันไปตามลักษณะ รูปทรง สี และช่วงเวลาที่ผลิบาน สายพันธุ์โดยทั่วไป เรียกว่า โซเมอิโยชิโนะ ซี่งจะพบมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น จึงถูกขยายพันธุ์ไปทั่วโลกได้โดยฝีมือมนุษย์ โดยจะเริ่มผลิบานเร็วที่สุด ช่วงกลางเดือนมีนาคม ทางตอนใต้สุดของประเทศ และจะผลิบานช้าสุด ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ทางตอนเหนือสุดของประเทศ แต่ก็มีบางสายพันธุ์ที่ผลิดอกเร็วกว่าหรือช้ากว่า ดังนั้นหากจะว่าไปแล้วเราสามารถชมความงดงามของซากุระได้ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ไปจนถึงเดือนมิถุนายน ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่งในประเทศญี่ปุ่น

เมื่อถึงเวลาที่ดอกซากุระบาน ชาวญี่ปุ่นมักจะจัดให้มีงานเทศกาลชมดอกไม้ หรือที่เรียกว่า โอฮานามิ โดยจะมีการปูเสื่อใต้ต้นซากุระ ตามสวนสาธารณะต่าง ๆ และนำอาหารมาร่วมรับประทานกัน พร้อมกับดื่มเหล้าสังสรรค์พูดคุย ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งได้กลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของชาวญี่ปุ่นตั้งแต่ราว 500 ปีก่อนถึงปัจจุบัน พอถึงเทศกาลชมดอกไม้ เรามักจะเห็นพนักงานบริษัท เหล่านักเรียนนักศึกษา ครอบครัว กลุ่มเพื่อน ๆ ส่งเสียงดังครึกครื้นอยู่ใต้ต้นซากุระได้ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่น่าสัมผัสสักครั้งหนึ่งในชีวิต